การแปรญัตติของรัฐสภา
กระบวนการแปรญัตติของรัฐสภาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายต่าง
ๆ ที่ได้มีการเสนอมายังรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
เป็นขั้นตอนที่บรรดาสมาชิกรัฐสภาได้ทำหน้าที่ในการพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ
อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าร่างกฎหมายนั้น ๆ จะผ่านการตรวจสอบ อย่างละเอียด
และสอดคล้องกับผลประโยชน์ของมหาชนมากที่สุด
วารสาร
สนย. ฉบับนี้
กระผมใคร่ขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับกระบวนการแปรญัตติให้ทุกท่านได้ เข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะผมก็เข้าใจว่าทุกท่านคงจะเคยได้ยินคำนี้เป็นอย่างดี ซึ่งจะขอนำเสนอเป็น ๒ ส่วน
คือผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายและกระบวนการแปรญัตติ
๑.
ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย
(การเสนอร่างกฎหมายต้องเสนอสภาผู้แทนราษฎรก่อน) ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๐
๑.๑ คณะรัฐมนตรี
๑.๒ ส.ส. ไม่น้อยกว่า ๒๐ คน
๑.๔
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน
(
๑.๒ ๑.๓
และ ๑.๔ เกี่ยวด้วยการเงินต้องมีคำรับรองนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่สงสัยว่าเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่
ให้ที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภา ผู้แทนราษฎรทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย )
๒. กระบวนการแปรญัตติ
เมื่อมีการเสนอร่างกฎหมายมายังรัฐสภาแล้ว รัฐสภาจะพิจารณาเป็น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ ขั้นรับหลักการ
วาระที่ ๒ ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา
วาระที่ ๓ ขั้นลงมติ
วาระที่ ๒ ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา
วาระที่ ๓ ขั้นลงมติ
กรณีตัวอย่างการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วาระที่
๑
ขั้นรับหลักการ คือ การพิจารณาในหลักการหรือประเด็นโดยรวมของร่างรัฐธรรมนูญฯ นั้นว่า สมควรที่จะนำไปพิจารณาในรายละเอียดต่อไปหรือไม่
การออกเสียงลงคะแนนใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนน โดยเปิดเผย ซึ่งต้องมีคะแนนเสียงที่เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของทั้งสองสภา
วาระที่
๒
ขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา เป็นการพิจารณาในรายละเอียดของร่างฯ มีการดำเนินการ ๒ ขั้นตอนคือ
๒.๑ การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ
๒.๒ การพิจารณาของรัฐสภา
๒.๒ การพิจารณาของรัฐสภา
๒.๑
การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ
รัฐสภาจะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาก่อน
เพื่อความรวดเร็วและรอบคอบ เพราะสมาชิกรัฐสภามีจำนวนมากสมาชิกรัฐสภาผู้ใดต้องการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญ
ต้องเสนอ “คำขอแปรญัตติ" ภายในเวลาที่รัฐสภากำหนด คณะกรรมาธิการวิสามัญที่ได้รับแต่งตั้งจะประชุมเพื่อพิจารณา ร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่คำปรารภ และมาตราที่
๑.....๒.....๓....ไปจนจบ มาตราใดมีผู้เสนอขอแปรญัตติก็จะเชิญ ผู้ที่ขอแปรญัตติเข้ามาเสนอเหตุผลในที่ประชุม และคณะกรรมาธิการฯ
ก็จะพิจารณาแล้วลงมติเป็นรายมาตรา (เป็นมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก)
ผู้ที่ขอแปรญัตติไม่เห็นด้วยกับมติของคณะกรรมาธิการฯ ก็จะ “สงวนคำแปรญัตติ”
ไว้ เพื่อให้นำไปพิจาณาในรัฐสภาได้
นอกจากนี้
กรรมาธิการแต่ละคนก็อาจขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆได้ เช่นเดียวกัน เมื่อลงมติแล้วปรากฎว่าเป็นฝ่ายข้างน้อยไม่ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติม
และกรรมาธิการผู้ที่ขอแก้ไข
ยังไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการฝ่ายเสียงข้างมาก ก็อาจขอ “สงวนความเห็น”
เพื่อให้นำไปพิจารณาในรัฐสภาได้เช่นเดียวกัน
สรุปแล้ว
สงวนคำแปรญัตติ คือ การที่ ส.ส.
/ ส.ว. ผู้แปรญัตติขอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา“ชี้ขาด” ในกรณีที่คณะกรรมาธิการไม่แก้ไขเพิ่มเติม
ตามที่ตนขอแปรญัตติ
สงวนความเห็น คือ การที่กรรมาธิการขอให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา“ชี้ขาด”
ในกรณีที่
กรรมาธิการผู้ขอแก้ไขไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก
เมื่อคณะกรรมาธิการฯ
พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ เสร็จแล้วก็จะทำรายงานเสนอต่อรัฐสภา
๒.๒
การพิจารณาของรัฐสภา
รัฐสภาจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ
เริ่มตั้งแต่ชื่อ ร่างรัฐธรรมนูญ คำปรารภ
และพิจารณาเรียงมาตราไปจนจบ โดยจะสามารถอภิปรายได้เฉพาะในมาตรา
ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือผู้แปรญัตติสงวนคำแปรญัตติไว้
หรือที่กรรมาธิการสงวนความเห็น
เสร็จแล้วรัฐสภาจะลงมติว่าจะยืนตามการแก้ไขเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการฯหรือให้แก้ไขเพิ่มเติม เป็นอย่างอื่นทีละมาตรา จนครบทุกมาตรา
เสร็จแล้วรัฐสภาจะลงมติว่าจะยืนตามการแก้ไขเพิ่มเติมของคณะกรรมาธิการฯหรือให้แก้ไขเพิ่มเติม เป็นอย่างอื่นทีละมาตรา จนครบทุกมาตรา

วาระที่
๒ พิจารณารายมาตรา มี ๒ ขั้นตอน
๒.๑
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา กรรมาธิการสุชาติ เสนอ ๒๒ ปี อภิปรายแล้ว คณะกรรมาธิการลงมติเสียงข้างมาก ๒๐ ปี
ส.ส. สมชาย ขอสงวนคำแปรญัตติ ส.ว. ศักดิ์ชาย เห็นด้วย กรรมาธิการสุชาติ ขอสงวน ความเห็น
พิจารณาครบทุกมาตราแล้วรายงานรัฐสภา
๒.๒ รัฐสภาพิจารณา ลงมติในมาตรานี้ ว่า................ปี
ในวาระที่ ๒ นี้ การออกเสียงลงคะแนน ถือเอาเสียงข้างมากธรรมดา เมื่อพิจารณาวาระที่สองเสร็จแล้ว
ต้องรอไว้ ๑๕ วัน
วาระที่ ๓ ขั้นลงมติ
เป็นการลงมติเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
โดยไม่มีการอภิปรายใดๆ อีก การออกเสียงลงคะแนน ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย
ซึ่งต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
-------------------------------------------
สุรไกร นวลศิริ
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน
๕
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์
[๑] ศาล
ประกอบด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม
ศาลปกครอง ศาลทหาร ส่วนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ผู้ตรวจการแผ่นดิน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ส่วนองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่
องค์กรอัยการ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่สามารถเสนอกฎหมายได้