การศึกษาไทยดิ่งเหว : จตุเหตุแห่งปัญหา

การศึกษาไทยดิ่งเหว : จตุเหตุแห่งปัญหา

 
   
 โพสเมื่อ : 29 ก.ย. 2556 โดย : Kruthai เปิดอ่าน 51 | คิดเห็น 0 
 
คะแนนของข่าวนี้-ไม่มีผลโหวต-
 
 
.....คอลัมน์ มติชน มติครู โดย เวคิน นพนิตย์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ 


ข่าวที่ทำให้นักการศึกษาผู้ที่มุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาไทยแทบช็อกคือ "ที่ประชุมเศรษฐกิจโลก (Word Economic Forum-WEF)" เผยผลจัดอันดับปีการศึกษาอาเซียนว่า ประเทศไทยมีคุณภาพการศึกษารั้งท้ายอยู่อันดับ 8 ในประเทศอาเซียน

"กล่าวคือประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีคุณภาพการศึกษาดีที่สุด สู่ยอดแย่ที่สุด ดังลำดับต่อไปนี้ อันดับ 1 สิงคโปร์ อันดับ 2 มาเลเซีย อันดับ 3 บรูไน อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ อันดับ 5 อินโดนีเซีย อันดับ 6 กัมพูชา อันดับ 7 เวียดนาม และอันดับ 8 ไทยแลนด์"

จากข้อมูลเชิงประจักษ์ จะเห็นได้ว่าประเทศที่เคยตามเราอยู่แบบไม่เห็นฝุ่น กำลังผายลมใส่ประเทศไทยแล้ว อย่างเช่นเวียดนามเมื่อ 5 ปีก่อนเขาตามเรามา แต่บัดนี้การศึกษาเวียดนามมีคุณภาพล้ำหน้าไทยจนทำให้บรรดาอรหันต์ทางการศึกษาไทยช็อกกันเป็นทิวแถว

จึงขอยืมวลีของผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอรหันต์ หรือกูรูว่า ""การศึกษาไทยดิ่งลงเลว"" แต่ก็แปลกใจว่าตอนที่ท่านเหล่านี้มาเป็นผู้บริหารสูงสุดของการศึกษา ท่าน และคณะก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้ พอตัวหมดอำนาจวาสนาก็ออกพูดปาวๆ ว่าการศึกษาไทยยอดแย่อยู่ก้นเหวดังที่กล่าวแล้ว!

"จากข่าวซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในวงการวิชาการส่วนใหญ่ช็อกแบบเงียบๆ ก็ไม่เห็นมีอรหันต์ทางการศึกษาคนใดมาทำการวิเคราะห์หาเหตุปัจจัยมาประกอบการพิจารณาแก้ไขให้เป็นรูปธรรม คือสามารถนำไปปฏิบัติการพัฒนาช่วยดึงเอาการศึกษาไทยขึ้นมาจากเหวสักนิดก็ยังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา ที่เรียกว่ามหาวิทยาลัย หรือ สถานที่ยิ่งใหญ่ในการให้ความรู้ ก็เงียบสนิท ประหนึ่งว่าธุระไม่ใช่ ประเทศไทยการศึกษาไทย ไม่ใช่ของข้าแต่เพียงผู้เดียว จึงไม่ใส่ใจจะปฏิรูปการศึกษากันอย่างจริงจัง ดังที่ได้ทำพันธสัญญาไว้กับประเทศชาติมาร่วม 2 ทศวรรษแล้ว"

ดังนั้น การที่จะช่วยให้การศึกษาของไทย ไม่จมลงไปสู่โคลนตมในก้นเหว ก็ควรที่จักพิจารณาหาเหตุต่างๆ ที่หลากหลาย หรือพหุเหตุแห่งปัญหาที่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ โดยได้ประมวลไว้ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์รวม 4 เหตุ หรือเป็นจตุเหตุแห่งปัญหาของการตกต่ำของการศึกษาไทย ดังต่อไปนี้

"1.หลักสูตรไม่ได้รับการประเมินกันอย่างจริงจัง" มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ของไทยไม่ประเมินหลักสูตรตามที่ได้สัญญาไว้กับหน่วยงานที่อนุมัติ และรับรองหลักสูตร ว่าจะประเมินทุกปีการศึกษา แต่ไม่ได้ทำ ครั้นเมื่อถูกเร่งรัดให้ประกันคุณภาพการศึกษา ก็ทำกันแบบลูบหน้าปะจมูก พยายามยกเมฆใส่ตัวเลขผลการประเมินให้ตรงตามที่องค์กรที่กำหนดมาตรฐานการต้องการ

ดังนั้น ในประเด็นของหลักสูตรซึ่งไม่ได้รับการใส่ใจในการประเมิน ก็เป็นเหตุแห่งปัญหาที่ทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำ มหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรควรที่ประเมินหลักสูตร นับแต่จะเปิดหลักสูตรว่าเป็นหลักสูตรคุณภาพตรงตามต้องการของชุมชนสังคมจริงหรือไม่? เพราะเท่าที่ปรากฏ หลักสูตรหลายหลักสูตรเปิดขึ้นมาเพียงเพื่อตอบสนองตัณหาของอาจารย์ นอกจากนี้ ยังพบว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยประเมินปัญหาอุปสรรคในการบริหารหลักสูตร และที่ร้ายหนักคือไม่ประเมินว่าบัณฑิตจบการศึกษาไปแล้วได้ทำงานกี่คน ตกงานกี่คน ผู้ใช้บัณฑิตเขาแฮปปี้กับบัณฑิตเหล่านั้นหรือไม่ เพียงใด ฯลฯ คำตอบจากการประเมินหลักสูตรจะนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ถ้าประเมินแล้วเห็นว่าหลักสูตรนี้ควรยุบ หรือปิดก็ต้องทำใจ

"2.ความด้อยคุณภาพของผู้สอน" หรือจะพูดแบบสามัญว่า ครู หรือผู้สอนที่ชอบเรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจเหลือเกินว่า "อาจารย์" นั้น มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่สอนไม่เอาไหน ต่อให้หลักสูตร หรือแผนการเรียนการสอนดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร หากผู้สอนไม่มีคุณภาพ ก็ย่อมจะเป็นแรงเสริมช่วยผลักให้คุณภาพการศึกษาดิ่งสู่เหวแห่งความพินาศทางการศึกษาดังที่ปรากฏ

"จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า ผู้สอน หรือผู้ที่ขนานนามตนเองว่า "อาจารย์" ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการพัฒนาเกี่ยวกับเทคนิคการสอน อีกทั้ง อาจารย์เหล่านี้ไม่ยอมพัฒนา ปรับปรุงวิธีการสอน คือข้าสอนของข้าแบบเดิมๆ ใครจะทำอะไร แม้แต่ผู้บริหารผู้ยิ่งใหญ่ หรือที่เรียกตนเองว่าอธิการบดีก็ไม่กล้าแตะต้อง ไม่กล้ามาประเมินอาจารย์ และพัฒนาให้ปัญญาชนสายพันธุ์นี้ เป็นครูที่พึงประสงค์ของการศึกษาไทย เพราะหากขืนมายุ่งกับผู้สอนมากเกิน คราวต่อไป หรือสมัยหน้าในการเลือกตั้งอธิการบดี ก็จะทำให้ผู้ที่แส่หาเรื่องในการกวดขันอาจารย์ให้เป็นครู จะไม่ได้รับคะแนนนิยมให้เป็นอธิการบดี หรือแม้แต่คณบดี หรือหัวหน้าภาควิชา พฤติกรรมเช่นนี้พบได้เสมอในมหาวิทยาลัยที่นำเอาระบบการเมืองมาใช้ในเลือกตั้งผู้บริหาร"

ในประเด็นนี้จึงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ผู้สอน หรืออาจารย์มีพฤติกรรมการสอนที่ขัดกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 คือไม่สอนให้นักศึกษาคิดเป็น ไม่สอนให้ทำเป็น ไม่สอนให้วิเคราะห์เป็น โดยส่วนใหญ่อาจารย์สอนให้นักศึกษาเพียงให้รู้ ให้ท่องจำ แต่คิด และทำไม่เป็นจนทำให้บรรดาบัณฑิตมีลักษณะหัวลีบ และพิกลพิการในที่สุด นี้คือผลพวงของคุณภาพการสอนที่ไม่เอาไหนย่อมนำไปสู่ภาวะดิ่งเหวของการศึกษาไทย

"3.กระบวนการน้ำเน่าในการเลือกตั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัย" มหาวิทยาลัยของรัฐส่วนใหญ่มักจะตะแบงว่า ผู้บริหารทุกระดับจนถึงอธิการบดีนั้น ได้มาโดยการสรรหา (Search) แต่เมื่อพิเคราะห์ให้ถ่องแท้แล้ว ต้องยอมรับว่าใม่ใช่สรรหา เป็นเพียงการเลือกตั้ง (Election) เหมือนกับเลือกนายก อบต. นายกเทศมนตรี หรือเช่นเดียวกับการเลือก ส.ส.หรือ ส.ว.กระบวนการแบบนี้ทำให้อาจารย์ผู้อาวุโสจากหลายสถาบันถึงกับคิดออกมาดังๆ ว่าน่าจะให้กรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการเลือกอธิการบดีเสียเอง ครู หรือปรมาจารย์บางคนถึงกับแสดงความคิดเห็นออกมาว่า หากยังเป็นระบบน้ำเน่าแบบนี้ โอกาสต่อไปก็สามารถจะส่งเสาไฟฟ้ามาลงเลือกตั้งเป็นผู้บริหารได้เช่นกัน

เมื่อนำกระบวนการน้ำเน่ามาใช้ในการเลือกตั้งผู้บริหาร สิ่งที่เกิดขึ้นคือการหาเสียง การสาดโคลน การนำเสนอโดยการโกหกอย่างเป็นทางการ (วิสัยทัศน์) การให้สัญญาแบบประชานิยม การล็อบบี้กรรมการสภามหาวิทยาลัย ฯลฯ ล้วนแต่ทำให้ว้าวุ่น โกลาหล อลเวง ผลที่ตามมาคือความแตกแยกระหว่างผู้สนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ได้เป็น กับฝ่ายที่ไม่ได้รับเลือก จนทำงานร่วมกันไม่ได้ต่างคนต่างอยู่ ทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำโดยปราศจากข้อสงสัย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะสภามหาวิทยาลัย น่าจะหันไปดูมหาวิทยาลัยชั้นนำ (World Class Universities) ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้ง ออสเตรเลีย ว่ามหาวิทยาลัยดีเยี่ยมเหล่านั้น เขาได้อธิการบดีมาโดยวิธีการใด ที่จะไม่ทำลายภาวะผู้นำทางวิชาการของมหาวิทยาลัย

"เมื่อภาวะผู้นำทางวิชาการ (Academic Leadership) ถูกทำลายโดยกระบวนการน้ำเน่า และน้ำเสีย ด้วยวิธีการเมืองแบบไทยๆ ก็ย่อมจะเป็นตัวกระตุ้นอัตราเร่งของการดิ่งสู่ห้วงเหวแห่งความหายนะของคุณภาพการศึกษาไทย"

"4.ระบบการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการที่บ่อนทำลายคุณภาพของผู้สอน" คือเหตุปัจจัยที่ 4 ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญในการผลักคุณภาพการศึกษาสู่ก้นเหว คือการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ และข้อกำหนดในการเข้าสู่ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมาตรฐานสากล สู่มาตรฐานต่ำเตี้ย คือไปลดปริมาณของผลงานที่ใช้ประกอบการเลื่อนตำแหน่งจากอาจารย์เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ โดยเฉพาะกำหนดว่าไม่ต้องส่งผลงานวิจัยก็เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ หน่วยงานระดับชาติที่รับผิดชอบในการกำหนดเกณฑ์พิจารณาการกำหนดตำแหน่งโดยใช้เกณฑ์ใหม่ที่มีส่วนในการส่งเสริมให้อาจารย์ไม่ทำวิจัย ควรทบทวนว่าเป็นการแย้งขัดกับการกำหนดที่หน้าที่ของอาจารย์ว่า นอกเหนือจากการสอนแล้ว อาจารย์ต้องทำวิจัยเป็นหน้าที่หลัก และสำคัญใช่หรือไม่?

"บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านที่ทำหน้าที่ประเมินอาจารย์สู่ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หรือเป็นคณะกรรมการพิจารณาตำแหน่งทางวิชาการ (กพต.หรือ กพว.) ก็ออกอาการไม่พึงพอใจ (แต่ไม่กล้าพูด) จึงวิเคราะห์แล้วฟันธงได้ว่านักวิชาการผู้ชงเรื่องนี้มาชะเลียร์นักการเมือง เพื่อจะให้นักการเมืองผู้ที่รับผิดชอบทางการศึกษา มีเสียงสนับสนุนจากอาจารย์ผู้ด้อยคุณภาพทางวิชาการนี้เป็นพฤติกรรมซ่อนเร้นซึ่งชั่วร้ายในวงการศึกษาไทย

หากยังขืนใช้เกณฑ์ว่าอาจารย์ไม่ต้องทำวิจัยก็เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้นั้น อีกไม่นานการวิจัยในมหาวิทยาลัยก็จะหดหาย อีกทั้งสามารถพยากรณ์ได้ว่ามหาวิทยาลัยของรัฐทั้งมหาวิทยาลัยชั้น 1 หรือชั้น 2 จะแปรผันตัวเองเป็นสุสานของผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ไม่มีประสบการณ์วิจัย เมื่อเป็นเช่นนี้คุณภาพการศึกษาไทยย่อมตกต่ำสุดขีดยากต่อการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ"

จตุปัจจัยแห่งปัญหาที่นำพาสู่การดิ่งเหวของการศึกษาไทยดังกล่าว เป็นเหตุแห่งปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ทันที แต่บรรดากูรู และโดยเฉพาะอรหันต์ทางการศึกษาระดับบิ๊กๆ ก็มักไขสือ และทำประหนึ่งว่าไม่อยากแก้ไข ปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ เจริญงอกงามจนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษาไทยให้ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน 

"หรืออย่างน้อย ทำให้เลื่อนขึ้นจากอันดับรั้งท้ายมาเป็นอันดับ 7 ก็ยังดี!!"

หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556