การจูงใจ (Motivation)

การจูงใจ
(Motivation)
ความหมายของการจูงใจ
              นักวิชาการได้ให้ความหมายของการจูงใจ จำแนกได้เป็น กลุ่ม คือกลุ่มที่กล่าวถึงการจูงใจครอบคลุม ต้นเหตุและเป้าหมาย และกลุ่มที่กล่าวถึงการจูงใจตามกระบวนการเกิด ดังต่อไปนี้
การจูงใจเป็นสิ่งที่เกิดจากอิทธิพลของสถานการณ์ บุคคลรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมทั้งหมด (Grohar-Murray & DiCross, 1997) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิด ความรู้สึก ความสามารถของคน (Rowland & Rowland, 1997) เป็นความเต็มใจของคนที่จะใช้พลังความสามารถในการปฏิบัติงาน(Luthan, 1992 อ้างถึงชมชื่น 2542)
การจูงใจเป็นกระบวนการทางจิตวิทยา (psychological process) ที่ผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างมีวัตถุประสงค์ และทิศทาง (Krietner, 1996 cited in Grohar-Murray, 1997) เป็นตัวเร่งให้พลังความสามารถที่มีอยู่ให้สามารถทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้บรรลุเป้าหมาย (Luthan , 2542อ้างถึงใน ชมชื่น , 2542)

สรุป
              การจูงใจเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่ผลักดันให้บุคคลใช้พลังความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้บรรลุเป้าหมายด้วยความเต็มใจ
การจูงใจคือ ผู้บริหารพยายามดำเนินการให้
  • พนักงานเกิดความต้องการจะทำงาน
  • พนักงานร่วมมือร่วมใจทำงานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของการจูงใจ
การจูงใจมีความสำคัญทั้งต่อผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติ และองค์กรมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ต่อผู้บริหาร
  1. พัฒนาทักษะ การทำความเข้าใจกับเป้าหมาย ความต้องการและพลังความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
  2. พัฒนาเทคนิค วิธีการจูงใจ
  3. ใช้สอยบุคคลเต็มศักยภาพ โดยทำงานให้อย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจ
ต่อผู้ปฏิบัติ
  1. มีความต้องการผลักดันตนเองให้ไปสู่เป้าหมาย
  2. ใช้พลังความสามารถของตนอย่างเต็มที่ มีความก้าวหน้าในการทำงาน
  3. กระตุ้นให้ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ไม่เฉื่อยชา หรือหยุดนิ่ง เสริมสร้าง
  4. เสริมสร้างกำลังใจในการปฏิบัติงาน สร้างขวัญและกำลังใจ
  5. ศรัทธา เชื่อมั่น และรักองค์กร
ต่อองค์กร
  1. บรรยากาศในการทำงานดี ผู้ร่วมงานกระตือรือร้น และทำงานอย่างมีเป้าหมาย
  2. ได้ผลงานที่คุ้มค่าตามพลังความสามารถจริงที่บุคลากรมี
  3. พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน พัฒนาให้ดีกว่าเดิม
  4. บุคลากรมีความรัก ความผูกพัน และซื้อสัตย์ต่อองค์กร การโยกย้าย ลาออกต่ำ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจูงใจ และแนวทางการประยุกต์ใช้
การจูงใจเป็นการผลักดันให้บุคคลใช้พลังความสามรถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้บรรลุเป้าหมาย ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจูงใจ จึงเป็นกลุ่มทฤษฎีที่อธิบายธรรมชาติความต้องการ ความสามารถ เป้าหมายของคน รวมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้คนผลักดันตนเองสู่เป้าหมาย สามารถแบ่งทฤษฎีการจูงใจได้ดังนี้
  1. ทฤษฎีของแมคเกรเกอร์
เป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดย Douglass Mc Gregor อธิบายคนเป็น ลักษณะหลักคือ
1. คนคุณลักษณะ เชื่อว่า คนโดยทั่วไปต้องการความสะดวก ความสบาย เกียจคร้าน หลีกเลี่ยงไม่ทำงาน หรือบังคับ ผลักดัน ข่มขู่ ให้ผู้อื่นทำงานแทนตนแต่คนกลุ่มนี้ต้องการความปลอดภัยมั่นคง การจูงใจคนที่มีลักษณะ จึงต้องเป็นลักษณะสั่งการโดยระบุเป้าหมาย ช่วงเวลาที่จะดำเนินงานให้เสร็จ เป็นงานที่ไม่ยากเกินไป และกำกับอย่างใกล้ชิด และอาจจำเป็นต้องใช้การจูงใจทางลบอื่นๆ (ดูรายละเอียดในหัวข้อ ประเภทของแรงจูงใจ)
2. คนคุณลักษณะ เชื่อว่า คนโดยทั่วไป มีความรับผิดชอบ ใฝ่ดี ต้องการการยอมรับ ความสำเร็จ ความภูมิใจในตัวเอง รักงาน พยายามเรียนรู้ ใจกว้าง พยายามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การจูงใจคนลักษณะ จึงมักเป็นการจูงใจทางบวก กล่าวคือให้โอกาสสนับสนุนให้ปฏิบัติงาน ชมเชย ยกย่อง มองหมายงานทที่ท้าทาย ต้องใช้ความสามารถสูง
  1. ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว์ (Maslow ,s theory of motivation)
ทฤษฎีนี้พัฒนามาจากทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ โดย Abraham M. Maslow ซึ่งเชื่อว่าความต้องการของมนุษย์ไม่สิ้นสุด ถ้าได้รับการตอบสนองขั้นพื้นฐานแล้วจะต้องการสิ่งที่สูงขึ้นไป ตามลำดับดังนี้
  1. ความต้องการด้านชีวภาพ (physiologic needs) เป็นความต้องการเพื่อตอบสนองให้ร่างกายมนุษย์มี
ชีวิตอยู่ ได้แก่ อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
  1. ความต้องการความมั่นคง ปลอดภัย (safety needs) เป็นความต้องการความปลอดภัยจากการถูก
ผู้อื่นทำร้าย ไม่ปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน การงาน
  1. ความต้องการเป็นเจ้าของ (belonging needs) เป็นความต้องการมิตรสหาย เป็นที่ยอมรับของคน
รอบข้าง และสังคม ต้องการความรัก ความอบอุ่น
  1. ความต้องการความภาคภูมิใจ (esteem needs) เป็นความต้องการภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกว่าตนเอง
มีคุณค่า ได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลอื่น
  1. ความต้องการความสำเร็จ (self actualization needs) เป็นความต้องการขั้นสูงสุดของคน
กล่าวคือต้องการบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ผู้บริหารจึงต้องมีทักษะในการติดตาม เฝ้าดูความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชาว่าคืออะไร เปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เพื่อให้สามารถสร้างเป้าหมายใหม่ ก่อให้เกิดการผลักดันให้ตนเองบรรลุเป้าหมายนั้น เกิดพฤติกรรมที่สร้างสรรค์

  1. ทฤษฎีแรงจูงใจของเฮอร์เบอร์ก (Herberg,s two factor theory of motivation)
เป็นทฤษฎีที่เน้นปัจจัยในตัวบุคคลที่ทำให้แต่ละคนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ผู้บริหารจึงมีภาระกิจที่จะต้องการทราบและตอบสนองความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำให้ผู้บังคับบัญชา มีความสุขในการทำงาน ประการคือ ปัจจัยจูงใจ และปัจจัยค้ำจุน
  1. ปัจจัยจูงใจ (motivator factors)
เป็นปัจจัยที่เกี่ยวกับงานที่ปฏิบัติอยู่ที่ทำให้คนเกิดความพึงพอใจ มีความรู้ทางบวกต่อ
ตนเอง ความสำเร็จในการทำงาน การได้รับการยอมรับนับถือ ลักษณะงานที่ปฏิบัติ ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าเป็นปัจจัยที่จูงใจหรือกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติเกิดความพึงพอใจในงาน ทำให้เกิดแรงจูงใจทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
  1. ความสำเร็จ เป็นความสำเร็จในการทำงาน แก้ปัญหาต่างๆ ได้ รู้สึกปลื้มใจกับ
ความสำเร็จ เป็นแรงจูงใจให้บุคคลนั้นต้องการความสำเร็จ และพัฒนาให้ดีกว่าเดิมอยู่เสมอ
  1. การได้รับความยอมรับนับถือ จากผู้บังคับบัญชาจากเพื่อน หรือผู้ร่วมงาน ชมเชย
แสดงความยินดี การให้กำลังใจหรือการแสดงออกอื่นใดที่ส่งให้เห็นการยอมรับในความสามารถเมื่อได้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งบรรลุผลสำเร็จ
  1. ลักษณะของงานที่ปฏิบัติ เป็นงานที่น่าสนใจมีความหลากหลายของงาน ต้อง
อาศัยความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ท้าทายซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้ลงมือทำและมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ
  1. มีโอกาสได้ความรับผิดชอบ เมื่อบุคคลได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการตัด
สินเกี่ยวกับงานจะช่วยให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ กระตุ้นให้กระตือรือร้น พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
  1. ความก้าวหน้าจากการปฏิบัติงาน เช่น ได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น

ของบุคคลในองค์การการมีโอกาสได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมหรือได้รับการฝึกอบรม

  1. ปัจจัยค้ำจุน (hygiene factor) เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน ผลักดันให้บุคคลเต็ม
ใจทำงานมากขึ้น มีดังนี้
  1. เงินเดือน หรือ ผลตอบแทนจากการทำงานหรือสิ่งอื่นๆ ที่ได้มาจากการปฏิบัติงาน
  2. การเติบโตทางวิชาชีพ หมายถึงความสามารถเชิงทักษะวิชาชีพเพิ่มขึ้น มีโอกาส
สร้างสรรค์งานมากขึ้น มั่นใจ ภูมิใจในการทำงาน
  1. ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน หมายถึง การติด
ต่อไม่ว่าเป็นกริยาหรือวาจาที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีต่อกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ทำงานด้วยกันเป็นอย่างดี
  1. สถานภาพของอาชีพ หมายถึง อาชีพนั้นเป็นที่ยอมรับนับถือ ของสังคม มีเกียรติ
และศักดิ์ศรี
  1. นโยบายและการบริหาร การจัดการและการบริหารงานขององค์กร การติดต่อสื่อ
สารภายในองค์การ
  1. สภาพแวดล้อมในการทำงาน หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวผู้ปฏิบัติในขณะ
ทำงาน ได้แก่ แสง เสียง อุณหภูมิ รังสี เป็นต้น และยังรวมถึงสภาวะการทำงาน ได้แก่ แนวทางการทำงาน จำนวนชั่วโมง ความหนักเบาของงาน ช่วงเวลาการทำงาน
  1. ความเป็นอยู่ส่วนตัว หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดีอันเป็นผลที่ได้รับจากงานใน
หน้าที่ของเขา เช่น มีบ้านพัก มีสวัสดิการพื้นฐาน เป็นต้น
  1. ความมั่นคงปลอดภัยในการทำงาน หมายถึงความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อความมั่น

คงในการทำงาน ความยั่งยืนของอาชีพหรือความมั่นคงขององค์กร

  1. การนิเทศงาน การให้คำแนะนำ การติดตาม ช่วยเหลือในการทำงาน รวมถึงความ
สามารถของผู้บังคับบัญชา ในการดำเนินงาน และให้ความยุติธรรมกับทุกคน
  1. ทฤษฎีการกำหนดเป้าหมายของล็อค (Locke’s goal-setting theory of work motivation)
ล็อคอธิบายว่าแรงจูงใจเบื้องต้นในการทำงานเกิดจากความปรารถนาที่จะไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยให้ผู้ปฏิบัติมีส่วนร่วมกำหนดเป้าหมายในการทำงาน ให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
ในการกำหนดเป้าหมาย ต้องยึดหลักต่อไปนี้
  1. เป้าหมายที่ท้าทาย จูงใจให้มีการปฏิบัติงานมมากกว่าเป้าหมายที่ง่าย
  2. เป้าหมายที่ยากและชัดเจน จะทำให้เกิดการจูงใจในการปฏิบัติได้ดีกว่าไม่มีเป้าหมาย
หรือเป้าหมายที่คลุมเครือ
  1. เป้าหมายจะมีผลต่อการปฏิบัติงานได้ กล่าวคือ เกิดการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ การ
ระดมทรัพยากร ความพยายามต่างๆ ในการปรับปรุง และการค้นคว้าหากลยุทธ์ที่เหมาะสม
  1. การตรวจสอบเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการกำหนดเป้าหมายในการทำงาน เพราะว่าเป็น
การเปิดโอกาสให้ตรวจสอบผลงานกับเป้าหมาย
  1. ให้ถือว่าเป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็น
  2. การให้รางวัลมีส่วนกระตุ้นให้มีการตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น และทำให้ยึดถือเป้าหมาย และ
มุ่งมั่นสู่เป้าหมายมากขึ้น
ผู้บริหารจึงต้องมุ่งสร้างเป้าหมายที่ท้าทายร่วมกับผู้ร่วมงาน เป็นเป้าหมายที่ชัดเจน ทุกคนเข้าใจ นำสู่การปฎิบัติ และเป็นเป้าหมายที่คาดว่าจะนำความพึงพอใจสู่ทุกคนถ้าสามารถปฏิบัติได้จนบรรลุ
  1. ทฤษฎีจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแมคแคนแลนด์ ( McClelland’s achievement motivation )
เดวิด แมคแคนแลนด์ ได้บอกวิธีกระตุ้นหรือเร่งเร้าให้การทำงานดีขึ้น โดยให้พนักงานมี
  1. ปรารถนาความสำเร็จของงาน เพื่อทำความดีหรือเพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำงานเป็นความมุ่งมั่น
แต่ละบุคคล
    1. ใฝ่หาอำนาจหน้าที่ เพื่อจะได้บทบาท สถานภาพ มีอิทธิพลและควบคุมผู้อื่นได้
    2. ยินดีเข้าร่วมทำงานด้วยความรักและผูกพัน เพื่อให้ได้มิตรภาพและสัมพันธภาพทางสังคมกับผู้อื่น
วัตถุประสงค์ของทฤษฎีนี้คือ
  1. ต้องการความสำเร็จของงาน เป้าหมายคืองานที่ยากและทาทาย คุณค่าและความสำเร็จของงานที่ทำอย่างมีอิสระและเชื่อมั่น
  2. แสวงหาอำนาจหน้าที่ เชื่อระบบอำนาจองค์การ รักษาคุณค่าของงานที่ทำ ยึดประโยชน์องค์การ
เป็นสำคัญ ยึดมั่นความยุติธรรมไม่ลำเอียง
  1. ต้องการความรักและผูกพันหรือสายสัมพันธ์ แสวงหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม หวัง
โอกาสที่จะได้รู้จักกับผู้อื่นเพื่อเป็นสะพานความเข้าใจที่ดีให้เป็นประโยชน์ต่องานที่ต้องทำให้เข้าใจ
  1. ทฤษฎีจูงใจ ERG ของอัลเดอเฟอร์ ( Alderfer )
1) ความต้องการที่จะอยู่รอด ( Existence )
2 ) ความต้องการที่จะมีสัมพันธ์ทางสังคม ( Relatedness )
3 ) ความต้องการที่จะเจริญก้าวหน้า ( Growth )
7. ทฤษฎีจูงใจใฝ่ความเป็นธรรม ( Equity theory of motivation )
ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่า ทุกคนต้องการได้รับการปฏิบัติตนด้วยดีด้วยความยุติธรรม และหวังจะได้รับค่าแรง ค่าจ้าง รางวัลที่เป็นธรรมเหมาะสมกับความรู้ความสามารถที่ได้ทุ่มเทให้กับงาน เมื่อใดที่พนักงานรู้สึกว่าได้รับค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมเขาจะเริ่มลดเพดานวิสัยความสามารถการทำงานเพื่อทำให้เข้าระดับ ความยุติธรรม หรือ ความเท่าเทียมกัน เอาเอง ขณะเดียวกันถ้าเขารู้สึกว่า ได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป เขาจะยิ่งทำงานหนักและมากขึ้นด้วย
8. ทฤษฎีการจูงใจด้วยการเพิ่มพลังของ บี เอฟ สกินเนอร์ ( Motivation by reinforcement : B.F. Skinner’s )
ใช้เงื่อนไขจากผู้ปฏิบัติงาน โดย พฤติกรรมที่ถูกจูงใจของผู้ปฏิบัติงานเป็นพฤติกรรมที่ได้เรียนรู้และได้รับอิทธิพลจากการให้รางวัลหรือจากการถูกลงโทษในประสบการณ์คล้ายๆ กันที่บุคคลได้ผ่านมา พฤติกรรม ชนิดที่ผู้บริหารเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับองค์การของตนดังนี้
1 ) ระบบการให้รางวัล ใช้ระบบ 3Ps คือ Praise Pay Promotion และกระตุ้นจูงใจให้พนักงานทำเช่นนั้นจะได้รับรางวัล
2 ) ถ้าพนักงานทำผิดจะถูกลงโทษ ควรกระทำอย่างมีขั้นตอน เช่น ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณบน ลงโทษทางวินัย ถ้าร้ายแรงให้ออก ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน
3 ) ผู้บริหารทำไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างในบางเรื่องที่พนักงานทำผิดหรือบกพร่องในบางกรณี ซึ่งผิดเล็กน้อย ไม่มีผลกระทบต่อเนื่องและรุนแรง ลักษณะนี้ดีกว่าการจ้องจับผิดและการทำลายน้ำใจ
9. หลักการจูงใจด้วยการใช้การบริหารงานโดยมีเป้าหมาย ( Motivation by MBO : Peter F. Drucker )
MBO คือการบริหารแบบมีวัตถุประสงค์ หรือการบริหารโดยมีเป้าหมายนั่นเอง พัฒนาขึ้นมาใช้โดย ปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ มุ่งเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของงาน โดยเสนอวิธีการกำหนดวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เอาไว้อย่างเป็นระบบ แล้วผลักดันหรือจูงใจให้ผู้บริหารทำการวางแผน
กระบวนการการบริหารงานโดยมีเป้าหมายหรือโดยมีวัตถุประสงค์ มีลักษณะ
1 ) กำหนดโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์การให้เกิดความสำเร็จในการทำงานในแต่ละระดับขั้นตอนของกระบวนการ
2 ) ในทางปฏิบัติหรือการลงมือทำตามแผน ทั้งผู้บริหารและพนักงานต้องช่วยกันพัฒนางานให้พุ่งตรงไปสู่เป้าหมายให้ได้
3 ) ด้วยการติดตามผลงาน วัดผลเป็นระยะอภิปรายเพื่อแก้ไขปัญหา เร่งเร้าการทำงานไปสู่เป้าหมาย มีการกำหนดวันแล้วเสร็จของงานตามแผนไว้อย่างชัดเจน

ประเภทของการจูงใจ
การจูงใจให้บุคคลปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น อาจมีแนวทางหรือวิธีหลายอย่างต่างกัน สุดแต่ผู้นำจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของบุคคล ลักษณะของงาน และบรรยากาศในการปฏิบัติงานนั้นๆแบ่งเป็น2ประเภท
1. การจูงใจแบบนิเสธ (negative motivation) ใช้การจูงใจแบบนี้กับบุคคลประเภท ที่เชื่อกันว่าต้องมีการบังคับให้ทำงาน หรือควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการบังคับขู่เข็น ลงโทษ เพื่อให้บุคคลปฏิบัติงาน เช่น การลงโทษทางวินัย การโยกย้าย การตัดอัตราค่าจ้าง และเงินเดือน เป็นต้น
2. การจูงใจแบบปฏิฐาน (positive motivation) เป็นการจูงใจที่ตั้งอยู่บนแนวคิดว่ามนุษย์เป็นคนดีมีความสามารถอยู่ในตัว และพร้อมที่จะทำงานให้ดีที่สุด (คนประเภท y) วิธีนี้จะมุ่งเน้นที่การสร้างกำลังใจ เช่น การชมเชยให้รางวัล การเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง การมอบหมายงานทที่ท้าทายความสามารถให้ทำ การให้มีส่วนร่วมในการวินิจฉัยสั่งการ หรือกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์กร เป็นต้น
โรแลนด์และโรแลนด์ (Rowland & Rowland, 1997) สรุปว่า วิธีการจูงใจแบบปฏิฐานที่ดีควรต้องคำนึงถึง
  1. มีความเฉพาะเจาะจง เช่น “ผมประทับใจที่คุณช่วยชีวิตคนไข้รายนี้ไว้ได้”
  2. ต้องทำทันทีที่เกิดผลงานในทางบวก
  3. ฉลองเมื่อปฎิบัติงานสู่เป้าหมาย
  4. ทุกระยะเวลาระหว่างการดำเนินงานยังไม่บรรลุต้องให้ความสำคัญ ชื่นชม ให้
กำลังใจ ชี้นำจนกว่าบุคคลปฏิบัติงานสู่เป้าหมาย
การจูงใจเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำจะต้องสนใจเอาใจใส่อยู่เสมอ การจูงใจแบบนิเสธ หรือการบังคับอาจไม่ใช่การจูงใจที่ดี และไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง และยังอาจทำให้ประสิทธิภาพของงานต่ำ ส่วนการจูงใจแบบปฎิฐานเป็นสิ่งที่ผู้นำจะต้องสนใจศึกษา เพราะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการจูงใจที่ดีในการปฏิบัติงาน และต้องวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจัยต่างๆ ในขณะนั้นให้ถูกต้อง เพื่อจะได้ใช้วิธีการจูงใจได้เหมาะสม
วิธีการจูงใจ
การจูงใจ เป็นการกระทำที่มีส่วนช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเต็มใจ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้ดีที่สุด และประสบผลสำเร็จ มีวิธีการดังต่อไปนี้
1. การดำเนินงานอย่างแข็งกร้าว (be strong) การจูงใจวิธีนี้มุ่งบังคับให้บุคคลปฏิบัติงานและหากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ไล่ออก โดยองค์กรมีแนวคิดว่า การที่บุคคลเข้ามาปฏิบัติงานและได้ค่าจ้าง ค่าตอบแทนนั้น เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตนแล้ว บุคคลเหล่านั้นอาจไม่ปฏิบัติงานเต็มกำลังความสามารถ ดังนั้นองค์กรจึงต้องเข้มงวดกวดขันการปฏิบัติงาน การขู่เข็ญ และการลงโทษที่รุนแรง เป็นเครื่องจูงใจอันสำคัญตามวิธีนี้
2. การเพิกเฉย เป็นการจูงใจด้านลบ เมินเฉย ไม่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย เพื่อแสดงให้ผู้ปฏิบัติทราบว่าตนมีความบกพร่อง หรือต้องปรับปรุงตนเอง หรือเพื่อต้องการเอาชนะ
3. การสามัคคีปรองดอง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้เพื่อการสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน บุคลากรอยากทำงาน รักองค์กร จูงใจให้คนอยากทำงาน
4. การดำเนินการอย่างละมุนละม่อม (be good) การจูงใจวิธีนี้มุ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับผู้ปฏิบัติงาน หรือระหว่าวงผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยองค์กรพยายามสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้ปฏิบัติงานและองค์ประกอบในการปฏิบัติงานอื่นๆ เท่าที่ควรจะจัดให้ได้เช่น การจัดสภาพการปฏิบัติงานที่ดี การจัดสวัสดิการและประโยชน์เกื้อกูลต่างๆให้แก่คนงาน เพื่อจะได้มีกำลังใจและขวัญในการปฏิบัติงาน อันจะส่งผลดีต่อองค์กร
  1. การดำเนินการแบบต่อรอง (implicit bargaining motivation) การจูงใจวิธีนี้มุ่งที่จะ
สร้างความเข้าใจอันดีระหว่าองค์กรกับผู้ปฏิบัติงานหรือระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น จัดหาอุปกรณ์การปฏิบัติงาน การจัดสภาพการปฏิบัติงานที่ดี การกำหนดอัตราค่าจ้าง และชั่วโมงการทำงานร่วมกัน โดยการต่อรองบนพื้นฐานของความเป็นจริงและสามารถปฏิบัติได้
  1. การดำเนินงานโดยการแข่งขัน (competition motivation) การจูงใจวิธีนี้มีลักษณะเป็น
แบบปฏิฐาน องค์กรหรือหัวหน้างานจะต้องกำหนดวิธีการวัดผลไว้ และแจ้งให้ผู้น่วมงานทราบถึงวิธีการวัด และผลที่จะมอบให้เมื่อปฏิบัติงานได้ผลดี เช่น การจูงใจด้วยการให้เลื่อนขั้นเงินเดือน เป็นต้น การจูงใจในลักษณะนี้ นอกจากจะทำเป็นรายบุคคลแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการจูงใจเป็นกลุ่มอีกด้วย เช่น จัดให้มีการแข่งขันปฏิบัติงานเป็นกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในกลุ่ม และการแข่งขันระหว่างกลุ่ม ซึ่งนักบริหารจะต้องข้องเกี่ยวกับข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกลุ่ม และหาทางป้องกันไว้ด้วย
  1. การดำเนินการแบบให้จูงใจตนเอง (internalized motivation) การจูงใจวิธีนี้มี้จุด
มุ่งหมายที่จะสร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงานให้แก่ตนเอง โดยการจูงใจให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน พยายามสร้างสรรค์ให้เกิดความร่วมจิต (collective mind) และความร่วมมือ (cooperation) สร้างท่าทีในการเป็นพวกพ้องเดียวกันขึ้นในกลุ่มคนงาน มีการใช้วิธีนี้ให้ผู้ร่วมงานได้มีส่วนรวมในการปฏิบัติงานกำหนดวัตถุประสงค์ มีเกณฑ์ควบคุมงาน ตลอดจนการมีสิทธิ์มีเสียงต่างๆ จะช่วยให้เกิดความรักและหวงแหนในงานและองค์กรของตนมากขึ้น
กระบวนการจูงใจ
กระบวนการจูงใจที่กล่าวถึงในที่นี้ เป็นการประยุกต์กระบวนการเชิงวิทยาศาสตร์ (scientific approach) กับทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ คือทฤษฎีของแมคเกรเกอร์ มาสโลว์ และ เฮอร์เบอร์ก เป็น ขั้นตอนดังต่อไปนี้
  1. การประเมินก่อนการจูงใจ
ในขั้นตอนนี้ผู้บริหารต้องพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งต่อไปนี้
  1. ผู้ปฏิบัติ กล่าวคือ ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจกับตัวผู้ปฏิบัติ ทั้งทางด้านลักษณะ
เฉพาะตัวว่าเป็นคนที่มีลักษณะอย่างไร (x , y หรืออื่นๆ มีความต้องการอะไร ซึ่งรวมถึง ความต้องการพื้นฐานความปลอดภัย ความเป็นเจ้าของ คุณค่า และความต้องการสู่ความสำเร็จ รวมถึงผลงานที่บุคคลนั้นทำได้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ
  1. ลักษณะงาน ต้องประเมินให้ได้ว่าลักษณะงานเป็นอย่างไร ขอบเขตชัดหรือไม่ ผู้
ทำงานมีความอิสระ เป็นแบบที่มีความสำคัญเพียงใด มีปัจจัยสนับสนุนมาเพียงพอหรือไม่ ผลการทำงานเป็นอย่างไร จุดอ่อน จุดแข็งในการทำงานคืออะไร เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจลักษณะงานเป็นเบื้องต้น
  1. สิ่งแวดล้อม ต้องประเมินเป้าหมาย แผนงาน กิจกรรมขององค์กร การสื่อสารภาย
ในองค์กร ว่ากระทบต่อบุคคลทำงานหรือไม่ อย่างไร เพื่อเป็นส่วนประกอบในการกำหนดวิธีการจูงใจได้ถูกต้อง
  1. สวัสดิการ ค่าตอบแทน ก็ได้รับเพียงพอ เหมาะสมหรือไม่เพียงใด กระทบต่อผู้
ปฏิบัติหรือไม่
2. การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน
ผู้บริหารร่วมกับผู้ปฏิบัติต้องพัฒนาเป้าหมายร่วมกันโดยมีความเชื่อว่าเป้าหมายก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว และพัฒนาอาศัยหลักการที่ว่า เป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็น เป้าหมายที่ท้าทาย ยาก ชัดเจน จูงใจให้คนปฏิบัติได้มากกว่า การให้รางวัลกระตุ้นให้มีการตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น
3. การจูงใจ
การจูงใจมี ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบนิเสธ และแบบปฏิฐาน ด้วยวิธีการจูงใจต่างๆ เช่น แข็งกร้าว ละมุนละม่อม ต่อรอง กระตุ้นให้จูงใจตนเอง สร้างบรรยากาศของการแข่งขัน เป็นต้น
4. การประเมินผล
เป็นการติดตามว่าการจูงใจที่ดำเนินการไป สามารถผลักดันให้บุคคลดำเนินไปสู่เป้าหมายหรือไม่ อย่างไร เพื่อนำผลการประเมินไปพัฒนากระบวนการจูงใจ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริหารสามารถจูงใจให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีความสุข เกิดผลงานที่คุ้มค่า บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้